study abroad
USA

โรงเรียนอนุบาล (KINDERGARTEN) เด็กอเมริกันจะเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาล หรือโรงเรียนอนุบาลตั้งแต่อายุประมาณ 3 ขวบ

โรงเรียนประถมศึกษา (ELEMENTARY SCHOOL) โดยทั่วไปเด็กอเมริกันจะเริ่มเข้าเรียนอย่างจริงจังเมื่ออายุ 6 ขวบในชั้น Grade 1 ซึ่งเทียบเท่ากับประถมศึกษาปีที่ 1 หรือ ป.1 ของไทย

ระบบการศึกษาของอเมริกาจัดแบ่งออกเป็น Grade 1 - 12 มีทั้งหมด 3 ช่วง คือ

ช่วงที่ 1 Grade 1 - 6 ระดับประถมศึกษา (ELEMENTARY SCHOOL)
ช่วงที่ 2 Grade 7 - 8 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (JUNIOR HIGH SCHOOL)
ช่วงที่ 3 Grade 9 - 12 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (SENIOR HIGH SCHOOL)

การศึกษาในระดับนี้ต้องเรียนวิชาพื้นฐานคือ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา บางครั้งอาจต้องเรียนภาษาต่างชาติ รวมถึงพลศึกษาด้วย นักเรียนต่างชาติที่เข้าไปเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาในสหรัฐอเมริกามีจำนวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเข้าเรียนในโรงเรียนประจำของเอกชนหรือ Boarding School นักเรียนไทยที่ไปเรียนต่อในระดับนี้ มักสำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้วและต้องการไปเรียนต่อ Grade 10 ที่อเมริกา

ระดับอุดมศึกษา สถาบันในระดับนี้มีมากกว่า 3,000 แห่งทั้งของรัฐและเอกชน แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

1. วิทยาลัยแบบ 2 ปี หรือวิทยาลัยชุมชน (JUNIOR COLLEGEหรือ COMMUNITY COLLEGE) สามารถเลือกเรียนได้ 2 หลักสูตร คือ

Transfer Track เป็นหลักสูตรที่เป็นวิชาพื้นฐาน 2 ปีแรกของการศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งจะต้องเรียนวิชาบังคับ 2 ปี จากนั้นสามารถโอนหน่วยกิตไปยังมหาวิทยาลัย เพื่อศึกษาต่อในปีที่ 3 โดยเกรดเฉลี่ยที่นักศึกษาทำได้ในระหว่างเรียน 2 ปีจะเป็นตัวกำหนดว่า นักศึกษาจะได้รับการตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยที่อยู่ในอันดับยากง่ายเพียงใด

Terminal / Vocational Track เป็นหลักสูตรอนุปริญญาสายวิชาชีพ หลังจากเรียนไปแล้ว 2 ปี นักศึกษาจะได้รับวุฒิอนุปริญญาตรี และโทในสาขาวิชาที่เลือก อาทิ สาขาคอมพิวเตอร์ เลขานุการ เขียนแบบ เป็นต้น

2. วิทยาลัย (COLLEGE) เป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาหลักสูตร 4 ปี เปิดสอนในระดับปริญญาตรี และปริญญาโท หากได้รับวุฒิบัตรระดับปริญญาตรี และโทจาก COLLEGE ทั้งจากของรัฐบาล และเอกชนนั้นถือว่ามีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่ากับ UNIVERSITY ทุกประการ

3. มหาวิทยาลัย (UNIVERSITY) เปิดสอนในระดับปริญญาตรี โท และเอกในสาขาต่าง ๆ บางสถาบันอาจจะยังมีสถานะเป็น COLLEGE เช่น BOSTON หรือ DORTMOUNT COLLEGE

4. สถาบันเทคโนโลยี (INSTITUTE OF TECHNOLOGY) เปิดสอนตั้งแต่ระดับปริญญาตรี โท และเอก ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ระดับมัธยมศึกษา นักเรียนต่างชาติสามารถศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนเอกชนเท่านั้น ไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐได้
วิทยาลัยสองปี (หรือระดับอนุปริญญา) ส่วนใหญ่ต้องได้เกรดเฉลี่ย 2.0 ขึ้นไป และมีคะแนน TOEFL 480–500 ขึ้นไป
มหาวิทยาลัย (สำหรับปริญญาตรี โทและเอก ต้องได้เกรดเฉลี่ย 2.5 และ TOEFL 500 เป็นอย่างน้อยสำหรับระดับปริญญาตรี หรือโท และเกรดเฉลี่ย 3.0 TOEFL ไม่ต่ำกว่า 550 หรือ IBT 75 ในระดับปริญญาเอก (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละมหาวิทยาลัย ซึ่งมีความยากง่ายในการตอบรับนักศึกษาแตกต่างกันออกไป) นักศึกษาที่จะสมัครโปรแกรม MBA ส่วนใหญ่จะต้องใช้คะแนน GMAT ในการสมัคร มหาวิทยาลัยบางแห่งจะนำคะแนนเหล่านี้มาคำนวณกับเกรดเฉลี่ยในระดับปริญญาตรี สำหรับนักศึกษาที่สมัครปริญญาโท และเอกในสาขาอื่นๆ (ยกเว้นกฎหมาย) จะต้องสอบ GRE (General Record Examination)

​

ในสหรัฐอเมริกาจะเริ่มประมาณเดือนกันยายน - พฤษภาคม ซึ่งมีการกำหนดภาคเรียนแตกต่างกันออกไป

1. ระบบ Semester เป็นระบบที่นิยมใช้มากที่สุดในกรอบเวลา 1 ปี จะประกอบไปด้วย 2 Semester และ 1-2 Summer Sessions แต่ละ Semester มีระยะเวลา ประมาณ 16 สัปดาห์

2. ระบบ Quarter ในกรอบเวลา 1 ปีจะแบ่งได้เป็น 4 Quarters แต่ละ Quarter จะใช้เวลาเรียนประมาณ 10 สัปดาห์

3. ระบบ Trimester ในกรอบระยะเวลา 1 ปี แบ่งภาคการศึกษาออกได้คือ

First Trimester เริ่มประมาณ เดือนกันยายน - ธันวาคม
Second Trimester เริ่มประมาณ เดือนมกราคม - เมษายน
Third Trimester เริ่มประมาณ เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม

4. ระบบ 4 – 1 – 4 เป็นระบบใหม่ที่ใช้ในสถาบันการศึกษาราว 8% ประเทศสหรัฐอเมริกาแบ่งปีการศึกษาออกเป็น 2 ภาคใหญ่ คั่นด้วยภาคเรียนสั้นๆ ที่เรียกว่า INTERIM เพื่อให้นักศึกษาไปทำงานค้นคว้าด้วยตนเองหรือออก FIELD TRI

นักศึกษาที่ต้องการไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริการ ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 1 ปี เนื่องจากต้องใช้เวลาติดต่อกับสถาบัน การสอบต่างๆ การจัดส่งเอกสาร และการพิจารณาใบสมัครต้องใช้เวลามาก การติดต่อกับสถานศึกษานั้นๆ ผู้สมัครสามารถดำเนินการได้เองโดยดูจากเว็บไซต์ของสถาบัน จากนั้น Download ใบสมัครออกมา หรืออาจขอใบสมัครไปที่ Office of Admission ของมหาวิทยาลัยนั้นๆ ถ้าเป็นระดับปริญญาโท และเอกให้ติดต่อขอใบสมัครไปที่ Graduage School Admission Office หรือ Chairman ของคณะ หรือแผนกที่ต้องการเรียน หลังจากส่งไบสมัครไปแล้วประมาณ 3- 6 สัปดาห์ นักศึกษาควรจะได้รับการติดต่อกลับจากสถาบันนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะส่งรายละเอียด และใบสมัคร (Preliminary Form) มาให้ ผู้สมัครต้องอ่านรายละเอียดในเอกสารที่ได้รับ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หรือนักศึกษาอาจติดต่อผ่านตัวแทนสถาบันเพื่อขอคำแนะนำและความช่วยเหลือในการสมัครเรียน

แบบฟอร์มใบสมัครที่กรอกเรียบร้อยแล้ว

ค่าธรรมเนียมในการสมัครหรือ Application Fee ประมาณ US$ 30–250 (แล้วแต่สถานศึกษาจะกำหนด) โดยค่า Fee นี้ ไม่สามารถเรียกคืนได้
ใบแสดงผลการเรียน Transcript ฉบับตัวจริง

ผลสอบ TOEFL, GRE หรือ GMAT สำหรับผู้เข้าศึกษาในระดับปริญญาโท หรือเอกต้องขอให้ศูนย์สอบ เช่น Education Testing Services (ETS) ส่งผลสอบไปยังสถานศึกษาโดยตรง (รายงานผลสอบนี้เรียกว่า Official Score Report)

จดหมายรับรองฐานะทางการเงิน (Financial Statement) ของผู้ปกครองจากสถาบันการเงินที่ผู้ปกครองของนักศึกษามีบัญชีอยู่ ในกรณีที่เป็นนักเรียนทุนควรมีจดหมายรับรองการรับทุนแนบไปด้วย

จดหมายรับรอง (Reconnendation Letters) 2 – 3 ฉบับ จากอาจารย์ผู้สอนหรือนายจ้าง

ประวัติส่วนตัว และจุดประสงค์ที่ต้องการไปศึกษาต่อ หรืออาจจะเป็นหัวข้ออื่นๆ แล้วแต่สถาบันนั้นๆ กำหนด ปกติจะมีความยาวประมาณ 300–500 คำ

สำเนา Passport

เอกสารทั้งหมดต้องส่งถึงสถาบันก่อนวันปิดรับสมัคร เกณฑ์การพิจารณาจะดูจากหลักฐานที่ส่งไป สถานบันหลายแห่งจะให้นักศึกษายืนยันการติดสินใจอีกครั้งก่อน ถึงจะจัดส่งใบตอบรับอย่างเป็นทางการที่เรียกว่า I-20 มาให้ เพื่อใช้ยื่นขอวีซ่านักเรียน

ค่าเล่าเรียนประกอบด้วยค่า Tuition Fee และค่าธรรมเนียมอื่นๆ อาทิ ค่าธรรมเนียมในการใช้ห้องปฏิบัติการ (สำหรับบางหลักสูตร) หรือค่าเครื่องมือเครื่องใช้ที่แยกออกจากค่าเล่าเรียน และต้องชำระเมื่อเริ่มภาคการศึกษา

หนังสือและอุปกรณ์การเรียน เป็นค่าเอกสารการเรียน วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ หรือเครื่องมือเครื่องใช้ที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สถาบันส่วนใหญ่จะมีร้านขายหนังสือและอุปกรณ์การเรียนไว้บริการในราคาย่อมเยาว์

ค่าที่พัก และอาหาร หอพักนักศึกษามักเรียกเก็บค่าที่พักในอัตราต่อภาคการศึกษา ค่าอาหารแยกต่างหาก ซึ่งจะเรียกเก็บล่วงหน้าในช่วงเริ่มต้นภาคการศึกษา สัญญาเช่าที่พักส่วนใหญ่มักรวมการชำระค่าเช่าเดือนแรก และเดือนสุดท้ายไว้ล่วงหน้า เรียกว่า “Security Deposit” หรือ “Cleaning Fee”.

ค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่างๆ อาทิ ค่าใช้จ่ายในการซักรีด ค่าเดินทาง ค่าสันทนาการ และสิ่งบันเทิงต่าง ๆ
ค่าประกันสุขภาพ นักศึกษาจำเป็นต้องซื้อแผนประกันสุขภาพ สถาบันส่วนใหญ่มักมีศูนย์การแพทย์เพื่อการตรวจรักษาสำหรับการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ หรืออุบัติเหตุในราคาย่อมเยาว์

การทำงาน นักศึกษาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในช่วงปีการศึกษาแรก (คู่สมรสก็ไม่สามารถทำงานได้ตลอดระยะเวลาที่พำนักอยู่ในอเมริกา) ปัจจุบันนักศึกษาที่มีวีซ่านักเรียนแบบ F1 อาจทำงานได้ถึง 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ภายใน Campus ของสถาบันที่ตนเองศึกษาอยู่ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากรัฐก่อน